ประวัติ-ตำนานม้าคำไหล

ประวัติ ตำนานม้าคำไหล


      จากตำนานเล่าขานต่อๆกันมาว่าพระศรีธาตุในสมัยนั้นก่อนออกบวชท่านเคยเป็นผู้นำดูแลชาวบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข  ทุกครั้งที่ท่านออกไปเยี่ยมเยียนราษฎรท่านจะขี่ม้าเป็นพาหนะในสมัยท่านเป็นผู้นำชาวบ้านทุกคนต่างเลื่อมใสและศรัทธาในตัวท่านมาก
       ครั้งหนึ่ง ท่านและชาวบ้านได้ร่วมกันบูรณะซ่อมแซมองค์พระเจดีย์(ปัจจุบันชาวบ้านเรียก องค์พระศรีมหากาธาตุ)ซึ่งองค์พระเจดีย์แห่งนี้ สร้างขึ้นในสมัยขอม
หลังจากบูรณะซ่อมแซมเสร็จ ท่านได้ร่วมกับชาวบ้านฉลองสมโภชซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือนหกในการสมโภชท่านกับชาวบ้านได้ทำบั้งไฟมาจุดถวาย ซึ่งการจุดบั่งไฟดังกล่าวนี้เป็นการบนบานศาลกล่าว เพื่อให้บ้านเมืองพ้นจากภัยวิบัติต่างๆ สมัยนั้นมีโรค ห่าลง(ปัจจุบันคือโรคหิวาตกโรค)การจุดบั้งไฟในสมัยนั้นจะจุดอยู่ในบริเวณวัด(ปัจจุบันวัดศรีเจริญโพนบก)เป็นการฉลิมฉลองสมโภชองค์พระเจดีย์ตลอดระยะที่พระศรียังมีชีวิตอยู่ท่านได้ขี่ม้า ซึ่งเป็นม้าคู่ชีพ เพื่อเยี่ยมเยือนทุกข์ของชาวบ้านตลอดมา จนเป็นม้าประจำตัวของตัวท่านตลอดกาล
       ต่อมา หลังจากพระศรีมรณภาพได้ไม่นาน ม้าที่ท่านเคยขี่เป็นพาหนะประจำตัวท่านก็ได้ตรอมใจตายตามไปด้วยเพราะอาลัยพระศรีครั้นถึงวันเพ็ญเดือนหก ซึ่งเป็นวัน คล้ายวันที่ พระศรีมรณภาพชาวบ้านก็จัดงาน ฉลองสมโภชดังที่เคยปฎิบัติมาใน ทุกปีและเพื่อเป็นการรำลึกถึงพระเดชพระคุณของท่าน
        ต่อมาทางคณะกรรมการหมู่บ้านประชาชนในท้องถิ่นจึงได้สร้างม้าจำลองของท่านขึ้นมาแทนม้าที่ท่านเคยขี่เมื่อสร้างเสร็จก็ทำพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อัญเชิญดวงวิญญาณม้าพาหนะให้เข้าสิงสถิตอยู่ในม้าตัวที่สร้างจำลองขึ้น ม้านี้ชื่อว่า ม้าคำไหล(คำไหล ตามคำบอกเล่าของบรรพบุรุษมาจากคำว่าไปได้ทุกที่ไม่จะเป็นทางบกทางน้ำทาง
อากาศ) จึงเกิดเป็นตำนานม้าคำไหลและปฎิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

                               ความเชื่อ
   
   สมัยก่อนเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนหก ของทุกปีชาวบ้านจะนำบั่งไฟมาถวายแด่องค์พระศรี (พระศรีมหาธาตุ)พร้อมกับการทรงขี่ม้าคำไหลโดยจะทำพิธีทรงในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เวลา ๐๖.๓๙ น.เป็นต้นไปผู้ทรงประกอบไปด้วยผู้สูงอายุลูกหลานในหมู่บ้านที่เป็นบริวารขององค์พระศรีตลอดมาร่างทรงของ พระศรีธาตุศรีธาตุและบริวารได้เยี่ยมเยือนชาวบ้านไปทุกหลังคาเรือน เพื่อไล่เสนียดจัญไรสิ่งที่ไม่ดีออกจากบ้านให้ประสบแต่ความสุขความเจริญการปฎิบัติสืบทอดต่อกันมาจะขาด สิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้จึงถือเป็นของคู่เมืองซึ่ง ถ้าหากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ว่าเป็นม้าไหลหรือบั่งไฟบ้านเมืองจะเกิดความไม่สงบสุข
                          ลักษณะม้าคำไหล
      ม้าคำไหล ทำมาจากดคนไม้ไผ่บงเนื้อแข็งมีความยาวประมาณ ๗๒ เซนติเมตรประกอบด้วย ๓ ส่วน ดังนี้
      ๑.ส่วนหัว ประกอบด้วย หู2ข้างคล้ายหูม้าตา2ข้างทำด้วยเม็ดหมากกลิหล่ำหรือมะหล่ำตาหมุ (หมากกลิหล่ำ เป็นภาษาท้องถิ่นซึ่งเป็นเมล็ดพืชตระกูลถั่ว เมล็ดกลมมีสีแบ่งครึ่งเป็นสีแดงสีดำ) มีความยาว ประมาณ 18 เซนติเมตร
      ๒.ส่วนลำตัว มีความหมาย ประมาณ 47 เซนติเมตร
      ๓.ส่วนหาง เป็นส่วนที่ ต่อจากส่วนลำตัว ลักษณะคล้ายกับหางพระยาครุฑ มีความยาว ประมาณ 7 เซนติเมตร
                      
            
            การแต่งกาย คณะม้าคำไหล
      
คระม้าคำไหลจะมีเครื่องแต่งกายเฉพาะ คือ เสื้อนั้นจะเป็นเสื้อคอกลม แขนสั้นที่ทอจากผ้าฝ้ายและย้อมสีครามจากธรรมชาติ(สมัยก่อนเรียกว่า เสื้อจุบหม้อนิลปัจจุบัน คือเสื้อผ้าหม้อฮ่อม)แล้วเอาผ้าหลากสีต่างๆมาเย็บปะ ตกแต่งคละกัน บนพื้นเสื้อสีดำ
                        

พิธีทรงม้าคำไหล
       จะเริ่มจาก พิธีอัญเชิญลงมาจากหอ ตอนเช้าตรู่ของวันเพ็ญเดือนหก ลงมาแล้วทำพิธีบูชา บอกกล่าวองค์พระศรีมหาธาตุว่าจะมีการทรงม้าและจะจัดงานบุญบั้งไฟแล้วนำไปประดับตกแต่งบนศาลาการเปรียญ ระหว่างนี้ ชาวบ้านจะไปทำพิธี พระอุปคุต ที่ริมหนองศรีเจริญโพนบกในความเชื่อของชาวบ้านกล่าวว่าการเชิญพระอุปคุตมาเพื่อเป็น การป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นตลอดการจัดงานประเพณี   เพราะถือว่าพระอุปคุตนี้เป็นผู้ที่ต่อสู้กับฝูงพญามาร ฉะนั้น ก่อนจะทำพิธีสำคัญต่างๆ มักจะเชิญพระอุปคุตมาบูชาในงานด้วย
        หลังจากเชิญพระอุปคุตมาที่วัด ต่อไปจะเป็นการประกอบพิธีทรงม้าที่บ้านของผู้ทรงม้าซึ่งประมาณการไว้หลังที่พระสงฆ์ ฉันภัตตาหารเช้าเสร็จ จะเริ่มพิธีทรงม้าจะมี
การกล่าวร่ายรำอัญเชิญจนกว่าวิญญาณของม้า (คนนั่งม้าจำลอง)และร่างทรงผู้ขับ)ผู้ถือเชือกวิ่งตามหลัง)คณะม้าคำไหลคือผู้ดูแลม้าของพระศรี ทันทีเสียงไชไย โห่ร้องขอคณะม้าคำไหลเริ่มทำการแห่ม้าคำไหลซึ่งมีเครื่องดนตรีบรรเลงประกอบคือแคนกลอง
ฆ้อง ฉิ่ง ฉาบ แล้วคณะม้าคำไหลจะแห่ และเล่นไปตามบริเวณงาน ตลอดจนตามบ้านเรือนของชาวบ้านธาตุ ทุกหลังตาเรือน
                     การละเล่น ของม้าคำไหล
        ม้าคำไหล จะออกมาเล่นเฉพาะงานประเพณีบุญบั้งไฟ วันเพ็ญเดือนหกเท่านั้น ผู้ทรงม้า จะมีคน และคนบังคับม้า ๑ คน นอกนั้นจะเป็นคณะของม้าไหล วิ่งตามม้าไหลไปตลอดงาน
หลังจากนั้น ม้าคำไหลจะวิ่งไปรอบๆขบวนแห่บั้งไฟ ไปตามถนนในหมู่บ้าน การวิ่งไปนั้น ถ้าวิ่งไปชนคนใดแล้ว จะต้องถวายหญ้าอ่อนให้แก่ม้าคำไหล(หญ้าอ่อน ปัจจุบันคือ ปัจจัยหรือแรงศรัทธา ตามกำลังศรัทธา ของผู้ที่ถูกม้าคำไหลชน) ถ้าไม่มีหญ้าอ่อนให้ ผู้นั้นยกมือไหว้ เพื่อเป็นสิริมงคลให้กับตนเอง(ตามคำบอกเล่า ถ้าคนใดถูกม้าคำไหลชน คนนั้นจะเป็นผู้โชคมีลาภตลอดปี)การจะเปลี่ยนผู้ขี่ม้าคำไหลต้องเป็นคณะม้าคำไหลคนใดคนหนึ่งเท่านั้น บุคคลอื่น ที่ไม่ใช่คณะของม้าคำไหล จะขี่ม้าคำไหลไม่ได้และสำคัญ ห้ามเป็นผู้หญิงโดยเด็ดขาด
เวลาประมาณ  ๑๘.๐๐ น. ของวันเพ็ญเดือนหกก็จะนำม้าคำไหลไปผักผ่อนที่บ้านผู้ถูกทรงจนถึงเวลา ตี ๓ ของวันแรม ๑ ค่ำเดือนหก ม้าคำไหลจะออกวิ่งอีกครั้งให้ทั่วทุก หลังคาเรือน เพื่อให้เป็นสิริมงคล และเป็นการถือปฎิบัติ สืบทอดประเพณีกันมา จนถึงเวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น.จะนำม้าคำไหลเข้าผักผ่อน ที่บ้านผู้ถูกทรงอีกครั้ง ตอนเช้าของ วันแรม ๒ ค่ำ เดือน คณะม้าคำไหลจะแห่ม้าคำไหลเข้าสู่หอโฮง ที่วัด(วัดศรีเจริญโพนบกในปัจจุบัน)ไว้อย่างเดิมและห้ามไม่ไห้ผู้ใด นำม้าคำไหลออกนอกสถานที่ดังกล่าวโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะเกิดอาเพศขึ้นในหมู่บ้าน นอกจากเทศกาลงานประเพณีบุญบั้งไฟ บ้านธาตุ คือ วันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เท่านั้น
        งานประเพณีบุญบั้งไฟ ของชาวบ้านธาตุได้เริ่มการจัดขบวนแห่บั้งไฟขึ้น ครั้งแรก เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๙๘ ในสมัยที่ นายลี ถาวะโรเป็นผู้ใหญ่บ้านและ นายจันทร์ ผาจวง เป็นกำนัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีเหตุการตีการฆ่ากันเกิดขึ้นในงาน ซึ่งม้าคำไหลจะออกวิ่งตรวจความเรียบร้อยในงาน ก่อนที่ขบวนแห่จะผ่านไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น