ประวัติพระเจ้าเลียบโลก ตอนที่ ๑๑


                   ประวัติพระเจ้าเลียบโลด ตอนที่ ๑๑
    จากตำนานบอกเล่า ที่ได้ปรากฏในคัมภีร์ (หรือหนังสือผูก11) สมัยพระเจ้าเลียบโลก จารึกลงใน
หนังสือใบลาน ภาษาขอม และภาษาธรรม
     ก่อนพุทธกาล ได้มีผู้สร้างเมืองนี้ขึ้น  คือพระยาธรรมิกราชและพระยาอโศกราช ร่วมเดินทางมา ด้วยกันได้พบดอยสาง  (ปัจจุบันคือบ้านแส) เห็นว่าที่แถวๆนี้อุดมสมบูรณ์ เพราะเต็มไปด้วยพืชพันธ์ธัญญาหารเช่น ป่าไผ่บ้าน และไผ่ป่าและไม้อื่น อีกมากมายปกคลุมอยู่อย่างหนาตา จึงได้ให้พลเมืองของตนบ่างส่วน มาอยู่ที่นี่  แล้วได้ตั้งชื่อบ้านว่า  บ้านแส  พระยาธรรมิกราชได้พัฒนาบ้านเมือง   จนเจริญขึ้นเรื่อยๆในระหว่างนั้นองค์  สมเด็จพระสัมมาสมพุทธเจ้า ได้ทรงเสด็จเผยแผ่พระพุทธศาสนา  พร้อมด้วยเหล่าพระสาวก   และได้ผ่านมาทางนี้พอดี   พระเจ้าธรรมิกราช  ได้อาราธนานิมนต์พระองค์ แล้วพระพุทธเจ้าได้แสดงพระธรรมเทศนา ใช้ชาวเมืองได้ฟัง ชาวเมืองได้ฟังแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธาตามตำนานและคำบอกเล่าว่า ชาวบ้านได้บ้านได้จี่ปู (เผาปู) เพื่อเป็นภัตตาหารถวายพระองค์ จนได้ชื่อว่า บ้านนาจี่ปู จนตราบเท่าทุกวันนี้
           
๑.มีอุบาสิกาคนหนึ่ง ชื่อนางเขียวค่อม มีรูปร่างตาอัปลักษณ์  (หลังค่อม) ไม่แต่งงานตลอดชีวิต และได้ถวายตัวเป็นอุบาสิกาแล้วทูลขอพระพุทธองค์ว่า อยากติดตามไปเป็นโยมอุปัฏฐากตลอดไป  พระองค์ทรงตรัสกับนางว่าให้อยู่ที่นี่และ   พระองค์ได้ประ ทับรอยพระพุทธบาทไว้ไห้บูชาและรักษาไว้ตลอดไปดังที่ปรากฏเห็นตราบเท่าทุวันนี้และชาวบ้านได้ขนานนามว่า พระพุทธบาทแม่แส

รอยพระพุทธบาท
๒. เมื่อพระพุทะองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาจนพระยาอโศกราชเลื่อมใส และศรัทธาในพระพุทธศาสนาแล้ว พระยาอโศกราชทูลถามองค์ว่าพวกเข้าเจ้านั้น จะได้พอ
พระองค์อีกเมื่อไหร่ พระพุทธเจ้าข้าพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าให้เอาหินทรายมากรวมกัน
แล้วถ้าปรากฏหินทรายเหล่านั้น กลายเป็นน้ำเมื่อไหร่ พระองค์จะกลับมา ต่อจากนั้นมาหินทรายที่นำมากองรวมกันไว้ เกิดอัศจรรย์ มีต้นตาลคำเกิดขึ้น มียอดใบสีเหลือง และปรากฏเรื่อยมา จนถึงพ.ศ.2500 ได้เกิดฟ้าผ่าต้นตาล และตายในที่สุด
           ๓.เมื่อพระองค์ได้เสด็จผ่านไปแล้ว  ชาวบ้านได้เลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนา
เป็นอย่างมาก  พระยาอโศกราชจึงได้ทำบำรุงพระพุทธศาสนา   จนเจริญรุ่งเรืองและได้สร้างวัดวาอารามต่างๆ พอจะเห็นได้จากซากปรักหักพังของวัดโบราณ เท่าที่พอเห็นใน
ปัจจุบัน   ดอนบ้านแส-ดอนโพนพระ-ดอนสังวาล-ดอนบ้านเก่า-โนนศรีฐาน-ดอนแก้ว
(ดอนแอ้ว)-ดอนแซ (บ้านดอนแซในปัจจุบัน)
           ๔.ต่อมาพระยาอโศกราช  ไปปกครองเมือต่อจาก พระเจ้าธรรมมิกราช ในระยะต่อมา บ้านแสได้เจริญรุ่งเรือง  มีการขายเนื้อที่ไปมากสังเกตดูได้จากซากโบราณในปัจจุบัน และสาเหตุที่แม่น้ำได้กัดเซาะริมตลิ่ง (ชาวบ้านเรียกว่า น้ำแซะ) จึงได้พากันย้ายหมู่บ้าน มาตั้งอยู่ที่ดอนสูง ที่น้ำนั้นท่วมไม่ถึง (ที่ตั้งบ้านปัจจุบัน) โดยมีต้นบกใหญ่และมีโพนตั้งอยู่เป็นที่สูง (โพนแปลว่าจอมปลวก) โพนบก
            ๕.เมื่อพระพุทธองค์ได้ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว พระยาอโศกได้เดินทางไปกราบเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ  และได้ทูลขอพระบรมสารีริกธาตุ  จากเจ้าเมืองนั้นในระหว่างที่พระยาอโศกราชได้นำพระธาตุกลับมานั้น ชาวบ้านต่างๆร่วมแรงร่วมใจกันก่อเจดีย์ไว้รอรับพระบรมสารีริกธาตุ โดยได้ร่วมมือกับเจ้าเมืองต่างๆเช่น พระยาจุลมณี
พรหมทัต เมืองตังเกี๋ย (เมืองญวน) พระยาอินทปัตนคร (เจ้าเมืองขอม) พระยาคำแดง (เจ้าเมืองหนองหาน อุดรธานี) พระยานันทเสน (เจ้าเมืองศรีโครตบูรณ์ ลาวใต้) พระยาสุวรรณภิงคาร (เจ้าเมืองหนองหาน สกลนคร)
            เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ๘  ปี พระมหากัสสปะ อัครสาวก พร้อมด้วยพระอรหันต์ อีก ๕๐๐ รูปออกเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามตำนานเล่าว่าพระอโศกราชได้ นำพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนที่เหลือจากการสร้างพระธาตุพนม  คือพระรากขวัญด้าน ซ้ายเท่าเมล็ดงาและเศวตฉัตร นำขึ้นประดิษฐานไว้บนยอดพระเจดีย์ในระหว่างนั้นได้มีการสร้างหนอง (พระธาตุกลางน้ำโขงเมืองหนองคาย) ผู้ที่นำพระบรมสารีริกธาตุขึ้นประดิษฐานไว้บนยอดพระเจดีย์นั้นคือ พระยาสุวรรณภิงคาร พระบังพวนนั้นอยู่ที่บ้านธาตุบังพวน(หนองคาย) พระมุลุขานั้นอยู่ที่วัดมัชฌิมาวาส เกิดเป็นต้นหมากแข้งขึ้น(อุดร) ยังมีพวกขิมอีกจำนวนหนึ่งได้แตกมาจากกัมพูชา(เขมร)  พวกนี้ได้นำเอาหลัก ธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาเผยแพร่ให้ชาวบ้านได้เคารพบูชาตราบเท่าทุกวันนี้  พวกขอมอีกพวกหนึ่งหนีล้นมาจากการขับไล่ของพวกจีนแผ่นดินใหญ่ ล่าถอยมาแล้วได้พบกับเจ้าเมืองทั้ง ๕ ที่ภูกำพร้า(พระธาตุพนม) ขอมพวกนี้ได้ร่วมมือกันเจ้าเมืองทั้ง ๕ พากันสร้างพระธาตุพนมจนแล้วเสร็จแล้วมาสร้างพระธาตุเชิงชุมและ พระนารายณ์ เจงเวงส่วนพระธาตุที่เหลือและสิ่งของที่จำเป็นได้ขึ้นเกวียนเป็นขบวนกว่า ๑๐๐  เล่มใช้วัวลากมาเจ้าเมืองและผู้ร่วมเดินทางจุดประสงค์นั้นจะไปนครหลวงเวียงจันทร์ ได้ผ่านทางนี้พระนาอินทปัตนครมีธิดา ชื่อนาเพ็ง(โปรดอ่านหนังสือพระธาตุนางเพ็ง)การเดินทางมาตามป่าห้วยหนองจนมาถึงที่ดอนสิงกุตระคือ  ดอนบ้านแส-ดอนบ้านปอ-ดอนโพนพระ-ดอนแม่แส-ดอนสังวาล-ดอนบ้านเก่า แล้วจึงได้หยุดพักเกวียนที่บ้านโพนบกและมีพวกขอมได้ อาศัยอยู่ดอนแถบนี้กันเป็น  กลุ่มขอมกลุ่มนี้มีศรัทธาอันแรงกล้านับถือพระพุทธศาสนามาก   ครั้งก่อนพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนา ชาวบ้านจี่ปูถวายเป็นภัตตาหารครั้งนั้น เมื่อ ๘ ปีก่อนขบวนเกวียน ๑๐๐ เล่มดังกล่าวได้หยุดแล้วร่วม
กันสร้างพระเจดีย์ แล้วพระยาอินทปัตนครนำพระบรมสารีริกธาตุบรรจุผอบทองคำขึ้นประดิษฐานไว้บนยอดพระเจดีย์
            ตำนานนี้ได้เรียบเรียงมาจาก หนังสือผูก หรือหนังสือธรรมโบราณผูกที่ ๑๑ ตอนพระเจ้าเลียบโลกเป็นภาษาขอมโบราณของผู้อาวุโส คือ พ่อตาโหล ผาจวง ได้เก็บรักษาไว้ครั้งที่ท่าบวชเรียนและเก็บไว้บางตอนเท่านั้น ส่วนหลักฐานที่เหลือนั้น  คงหายสาบ สูญหรือคงถูกทำลายไปนานแล้วหลังจากนั้นจึงไปปรากฏหลักฐานใดๆ ให้ปรากฏชัด เจนได้คาดว่าเมืองนี้คงเป็นเมืองร้างมาเป็นพันๆปี
            ในสมัย ปี พ.ศ.๒๑๐๐ เจ้าผู้ครองนครเวียงจันทร์ คือ พระเจ้าไซยฐาธิราชพระองค์ มีความเลื่อมใส ในพระพุทธศาสนาทรงได้ทำนุพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากตามประวัติสาสตร์วัดที่พระองค์ได้บูรณะและซ่อมแซม คือ วัดพระธาตุบังพวน-พระธาตุพนมและองค์พระศรีมหาธาตุนี้ด้วยสังเกตดูได้จากลักาณะของพระเจดีย์นั้นคล้ายคลึงกันมากโดยการสร้างพระเจดีย์นั้นคือการนำก้อนหินมาสลักแล้วตัดเป็นเหลี่ยม แล้วนำ มาวางเรียงซ้อมกัน ในสมัยของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชนั้น ได้มีการนำหินแห่หรือหินลูกรังมาผสมกับยางบงแล้วก่อเป็นรูปเป็นร่าง จึงเห็นเป็นเค้าเป็นโครงร่างในปัจจุบันการบูรณะพระธาตุนั้นไม่ทราบแน่ชัดทราบแต่เพียงว่าท่อนบนองค์พระธาตุนั้น ได้หักลงมาพร้อมกันกับวันที่ พระธาตุพนมพังลงมาพอดี คือ วันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๘ ชาวบ้านได้บูรณะและซ่อมแซมให้เหมือนเดิม ดังที่ท่านได้เห็นในปัจจุบันแต่เรื่องของความศักดิ์สิทธิ์นั้นก็ยังคงเหมือนเดิม ใครบนบานอะไรไวและได้ขอพรอะไรก็จะได้สมหวังดังความมั่งมั่นและปรารถนาทุกประการและเป็นที่เคารพสักการบูชาของชาวบ้านและคนทั่วไป



1 ความคิดเห็น: